หากประมวลภาพตั้งแต่ตอนแรกที่ผมนำเสนอเรื่องบ่อนคาสิโนรอบเพื่อนบ้านมา มีประเด็นที่ผมต้องการสื่อคือ
ประเด็นแรก วิกฤติที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องจากปี 2552 นี้ไป จะมีบ่อนขนาดใหญ่เกิดขึ้นรอบทิศ ทักษาของประเทศไทย เหนือ ใต้ ออก ตก และตะวันออกเฉียงเหนืออย่างครบวงจร ทั้งที่เชียงราย มุกดาหาร ระนอง ภาคใต้ของไทย มันเหมือนเครื่องดูดฝุ่นแรงสูงที่ดูดสูบคนไทยบางส่วนออกไปเล่น
ประเด็นต่อมาผมมองเรื่องยุทธศาสตร์ชาติของประเทศเพื่อนบ้าน อย่างสิงคโปร์ และมาเลเซียที่มองในเชิงของการท่องเที่ยวและการสร้างแรงดึงดูดทางการตลาดในเชิง Mice+Entertainment ประเด็นที่ต้องทบทวนในเชิงขีดความสามารถในการแข่งขันว่าเม็ดเงินทางการท่องเที่ยวที่ต้องถูกดึงไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งทางการท่องเที่ยวของไทย ที่ปัจจุบันไทยเราขายธรรมชาติ วัฒนธรรม ความเป็นไทยเกือบล้วน ๆ
ประเด็นที่สาม เป็นเรื่องของการเมืองภายในประเทศไทยที่ไปผูกพ่วงกับธุรกิจบ่อนคาสิโนเอง เหมือนคนไทยทำในประเทศไม่ได้ก็ไปร่วมลงทุนหรือเป็นเจ้าของบ่อนเสียเอง เช่นที่กัมพูชา เป็นต้น และคนไทยก็กินเงินคนไทยด้วยกันเอง เพียงแต่ไปกินนอกประเทศผันเงิน-ฟอกเงินเข้ามาหมุนในระบบในประเทศ
ประเด็นที่สี่ เป็นเรื่องมูลค่าการตลาด บ่อนการพนัน คือแหล่งฟอกเงินสูงกว่าปีละ 6-9 แสนล้าน สามารถทำกำไรรวมกันปีละ 1.6 แสนล้านบาท ทั้งบ่อนในประเทศและบ่อนตามตะเข็บแนวชายแดน และการปรับเปลี่ยนทางกลยุทธ์ที่ไร้พรมแดน เพราะปัจจุบันมีการแพร่ระบาดอย่างมากในอินเตอร์เน็ต
ประเด็นที่ห้า เป็นเรื่องศีลธรรม ศาสนา ความเหมาะสมที่จะตั้งที่ประเทศไทย รวมถึงปัญหาอาชญากรรมในหลายรูปแบบทั้งการฟอกเงิน ยาเสพติด และมิจฉาชีพ
ประเด็นสุดท้าย ปัจจุบันกาสิโนยังคงเป็นธุรกิจที่ผิดกฏหมายของจีน ฮ่องกง อินโดนิเซีย ไทย และไต้หวัน ขนาดประเทศมหาอำนาจอย่างจีนยังเห็นภัยของการพนันประเภทนี้ จึงไม่ให้เขตแผ่นดินใหญ่มีคาสิโนแม้แต่แห่งเดียว ผลักให้อยู่นอกเขตแดนประเทศเพื่อนบ้าน และเขตปกครองพิเศษเท่านั้น
มีข้อคิดเห็นจากเพื่อน Blogger ที่น่าสนใจหลายประเด็นด้วยกัน มีทั้งตั้งข้อสงสัย ว่าทำไมไทยไม่ตั้งคาสิโนถูกกฎหมายไปเลยสักที่หนึ่งใหญ่ ๆแทนที่จะยอมให้บ่อนเถื่อนเปิดเย้ยอำนาจรัฐอยู่ทั่วไทย รวมถึงไม่เห็นด้วยเพราะจะเกิดปัญหาสังคมตามมามากมาย หนี้สิน อาชญากรรม ปัญหาครอบครัว และกระทบต่อเมืองพุทธศาสนา ฯลฯ
ซึงในประเทศไทยก็มีการศึกษารูปแบบลงทุนกาสิโนที่เหมาะสมในประเทศไทย เช่น รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ได้เคยแยก รูปแบบการดำเนินการออกเป็น 4 อย่าง เช่น 1.รัฐเป็นเจ้าของ และบริหารเองทั้งหมด 2.รัฐบาลให้สัมปทานกับเอกชน โดยเปิดประมูลแข่งกันเลย3.รัฐบาลเป็นเจ้าของ แต่ให้เอกชนเข้ามาบริหารจัดการ หรือ 4. เป็นการ่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลกับเอกชน พร้อมเสนอโมเดลที่เหมาะสมกับประเทศไทย ได้แก่การที่รัฐเป็นเจ้าของ 100% โดยมีหน่วยงานพิเศษ สังกัดกระทรวงการคลังขึ้นมาดูแลกาสิโนโดยเฉพาะ โดยทำหน้าที่ดูแลการบริหารแหล่งกาสิโนที่จะตั้งขึ้นทั้งหมด
และอธิบายว่า การทำกาสิโนอย่างถูกกฏหมาย ต้องมีการเตรียมงานเป็นปี ตั้งแต่ดูสถานที่ คัดเลือกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตรวจประวัติ เพราะถ้าคนไม่ซื่อสัตย์ก็จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติได้ ทั้งนี้ หน่วยงานและคณะกรรมการที่กำกับดูแลกาสิโนที่จะถูกจัดตั้งขึ้นต้องทำงานอย่าง "เข้มงวด" และ "เฉียบขาด" อย่างมาก ไม่ใช่ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก เพราะมันหมายถึงรายได้ของประเทศ!!!
ด้านงานวิจัยของศาสตราจารย์เอ็ดดิงตัน ก็เคยสรุปการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าคิดว่า ประเทศที่เปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายมักจะอ้างเหตุผลที่ว่า กาสิโนเป็นตัวกระตุ้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ ดึงดูดการลงทุนทางการเงิน และสนับสนุนธุรกิจการท่องเที่ยว โดยที่รัฐบาลของประเทศที่มีบ่อนกาสิโนคาดหวังว่าถ้าเปิดกาสิโนเหมือนที่ลาสเวกัสจะได้ผลกำไรและผลประโยชน์ในทำนองเดียวกัน
แต่ถ้าหากมองในความเป็นจริงเราจะเห็นได้ว่าประเทศที่เปิดบ่อนกาสิโน ยังไม่มีประเทศไหนประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับที่ลาสเวกัสเลย เนื่องจากทุกประเทศที่เปิดบ่อนกาสิโนจะมีปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไป คือในด้านของศาสนานั้นอาจมีหลักความเชื่อที่ไม่เหมือนกัน เช่น ศาสนาอิสลามมีความเชื่อที่ว่าการพนันนั้นเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายมาก ส่วนความเชื่อของศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิคมีทรรศนะที่สามารถยอมรับการเล่นการพนันได้ อีกทั้งทางด้านการเมืองการปกครองซึ่งเป็นตัวกำหนดระบบเศรษฐกิจที่ชัดเจน อย่างเช่น การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จะมีระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือระบบทุนนิยมซึ่งจะมีเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ แต่ยังมีรัฐบาลที่คอยแทรกแซงในการควบคุมอยู่
ในประวัติศาสตร์ประเทศไทย หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่าเราเคยมีบ่อนคาสิโนแล้ว มีผู้ค้นคว้าความเป็นมาของการเล่นพนันในประวัติศาสตร์ชาติไทยเอาไว้ โดยสันนิษฐานว่า การพนันประเภทถั่วเกิดขึ้นก่อนราว พ.ศ.1450 ก่อนราชวงศ์พระร่วงได้ครองกรุงสุโขทัย การเล่นโปเกิดราว พ.ศ.2100 ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิครองกรุงศรีอยุธยา การเล่นหวยเกิดราว พ.ศ.2390 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เคยเปิดให้มีบ่อนการพนันอย่างถูกกฎหมายมาก่อน
ในสมัยรัชกาลที่ 2 มีบ่อนการพนันที่ได้รับอนุญาตจากทางราชการได้แก่ บ่อนเบี้ย บ่อนถั่ว และบ่อนโป ซึ่งผู้ได้รับอนุญาตให้เปิดบ่อนจะได้รับชื่อบรรดาศักดิ์ว่า "ขุนพัฒนสมบัติ"
ในสมัยรัชกาลที่ 2 บ่อนการพนันซึ่งหากจัดแบ่งตามวิธีบริหารจัดการจะมีอยู่ 2 ประเภทได้แก่
1) บ่อนหลวง เป็นบ่อนที่เจ้าพนักงานบ่อนเบี้ยเก็บกำไรถวายแก่หลวง เช่น บ่อนกงสีลัง บ่อนสำเพ็ง ซึ่งเป็นบ่อนที่ใหญ่ที่สุดในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
2) บ่อนผูกขาด เป็นบ่อนที่ผู้ได้รับอนุญาตตกลงส่งเงินเข้ากระทรวงพระคลังฯ ในจำนวนที่กำหนดไว้เป็นรายปีโดยอากรบ่อนเบี้ยที่รัฐได้รับในสมัยนั้นเป็นจำนวนเงินประมาณ 260,000 บาทต่อปี
นับแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา ได้ทรงยกเลิกบ่อนหลวงทั้งหมดให้เปลี่ยนมาเป็นบ่อนผูกขาด ทำให้ได้รับอากรบ่อนเบี้ยมากขึ้น รายได้ของรัฐบาลในรัชกาลที่ 2 ปีละ 260,000 บาท รัชกาลที่ 3 ปีละ 400,000 บาท รัชกาลที่ 4 ปีละ 500,000 บาทโดยเงินอากรบ่อนเบี้ยเคยจัดเก็บได้สูงสุดในสมัยรัชกาลที่ 5 ปีละ 6,879,562 บาท
พ.ศ. 2413 เฉพาะในแขวงกรุงเทพฯ มีบ่อนใหญ่ตั้งเล่นโปถั่วประจำอยู่ 126 ตำบล และยังมีบ่อนเบี้ยขนาดเล็กอีกประมาณ 277 ตำบล ก่อนที่จะมีการยกเลิกไปโดยพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5
ในสมัยนั้น แม้รัฐจำเป็นต้องพึ่งรายได้จาก "อากรบ่อนเบี้ย" มาใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศแต่รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักถึงภัยอันใหญ่หลวงของบ่อนเบี้ยการพนัน ดังมีพระราชดำริว่า
"การมีราษฎรที่มัวเมาอยู่ในการพนันย่อมเป็นเหตุนำไปสู่ความวิบัติทั้งทางส่วนตัวและทางความมั่นคงของประเทศชาติ" และ "...ข้าพเจ้าเห็นว่ายังมีความขัดข้องอยู่ ด้วยกรุงสยามยังมีภาษีหวย ทั่วโป การพนันต่างๆ ฝิ่น เหล้า เหล่านี้ที่จริงได้ทำคนให้เป็นทาษ ให้โทษแก่มนุษย์ ทั้งหลาย...จะต้องคิดดับของเหล่านี้เสียก่อนจึงจะเลิกทาสได้..."
พระองค์ทรงเห็นว่า การมีราษฎรที่มัวเมาในการพนันย่อมเป็นเหตุนำไปสู่ความวิบัติ ทั้งส่วนตัวและส่วนรวมในความมั่นคงของประเทศชาติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดการปรับปรุงงานพระคลัง เพื่อให้หารายได้อื่นมาทดแทนรายได้ที่มาจากอากรบ่อนเบี้ย โดยมีประกาศเริ่มลดจำนวนบ่อนลงเรื่อยๆจากที่เคยมีกว่า 400 ตำบล ในแขวงกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2431 ลงเหลือ 47 ตำบล ใน พ.ศ.2433 และเหลือเพียง 9 ตำบล ใน พ.ศ.2453
มีบทความอีกเรื่องหนึ่งที่ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับพิษภัยของคาสิโนได้ดี ของอ.มิ่งสรรพ์ ระบุว่า
“หากคิดจะเอาเงินเป็นที่ตั้ง ก็เถียงไม่ได้หรอกว่า กาสิโนเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ การศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจมักจะพบว่า ผลได้จากกาสิโนสูงกว่าต้นทุน แต่ผลของการเปิดกาสิโนต่อสังคมนั้นมหาศาล และการศึกษาทางเศรษฐกิจเหล่านี้ก็ไม่ได้รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการเยียวยาผู้ติดพนัน การสูญเสียประสิทธิภาพการผลิต ความซบเซาของร้านค้าปลีก ตลอดจนความล่มสลายของครอบครัวไว้ด้วย
การศึกษาเกี่ยวกับการพนันพบว่า การพนันเป็นพฤติกรรมหนึ่งที่พบในร้อยละ 1-11 ของประชากร อัตราการติดพนันมักจะสูงกว่าในกลุ่มที่มีพื้นฐานความเชื่อในโชคลาง
การศึกษาของ Citizen"s Committee on Destination Gambling ของ Canada ได้เตือนเกี่ยวกับผลเสียต่อเนื่องของการพนันอันได้แก่ การติดสุราเรื้อรัง การใช้ยาเสพติด อาชญากรรม
มาเก๊า เป็นตัวอย่างล่าสุดของเมืองที่สร้างกาสิโนแบบไฮโซ มาเก๊าเพิ่งสร้างกาสิโนใหม่เอี่ยม ชื่อ The Venetian นาย Ewing ผู้เขียนบทความ เรื่อง "กาสิโนที่กลืนกินมาเก๊า" เล่าว่า มาเก๊า ใช้เงินลงทุนกว่า 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ GDP เพิ่มขึ้นถึง 20% แต่คอร์รัปชั่นในวงราชการก็สูงขึ้น เด็กนักเรียนออกจากการเรียนมัธยมและไม่เรียนต่อ เพื่อหางานทำในกาสิโน มีคนหนุ่มคนสาวฆ่าตัวตายเพราะเล่นเสียในกาสิโน มีการปล่อยกู้นอกระบบมากขึ้น ฯลฯ
ที่สำคัญก็คือ คนที่เราจะได้มาเที่ยวประเทศไทยจะเป็นนักพนัน ไม่ใช่นักท่องเที่ยว เราอยากได้นักพนัน มาเยือนประเทศไทยมากๆ หรือถ้าอยากได้ลองคิดว่า ถ้าได้นักพนันมาจากจีนซัก 10-20 ล้านคน จะเป็นอย่างไร ดูจากมาเก๊ามีคนมาเข้ากาสิโนถึง 26 ล้านคน
ดังนั้น เรื่องกาสิโนนี่ไม่ใช่แค่เรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือหารายได้ แต่เป็นเรื่องวิชั่นเกี่ยวกับบ้านเมืองของเรา ว่าเราอยากเห็นบ้านเมืองเราเป็นอย่างไร กาสิโนจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องหารือกับประชาชน ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ กาสิโนเมื่อตั้งขึ้นแล้วก็จะไม่สามารถเลิกได้ เพราะผู้เสพติดกาสิโนรายใหญ่ก็คือรัฐบาลนั่นเอง เพราะเสพติดรายได้ที่เกิดจากกาสิโน”
(กาสิโน...อีกแล้ว ...มิ่งสรรพ์ ขาวสะอาด มติชนรายวัน วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10968)
บทสรุปจุดยืนในความคิดของผมคือประเทศไทยต้องต้านทานกระแสคาสิโนล้อมประเทศให้ได้ อยากให้เกิดบ่อนคาสิโนถูกกฏหมายในประเทศไทยขึ้นแม้แต่แห่งเดียว เพราะผมคิดว่านั้นหมายถึงเอกราชทางวิญญาณของคนไทยจะถูกสลายไปแน่ แม้ว่าจะมีระบบการจัดการ หรือข้ออ้างเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์ที่จะมาพิสูจน์ว่าผลบวกมากกว่า แต่สุดท้ายมันก็ไม่สามารถชี้วัดคุณค่าของจิตใจคนไทยได้ แม้ว่าในข้อเท็จจริงเราจะสูญเสียนักท่องเที่ยว และรายได้ก็ตามผมคิดว่าเรายังมีวิถีทางยุทธศาสตร์ที่จะหารายได้มากกว่าตั้งบ่อนถูกกฎหมายอีกมากมาย เช่น ธุรกิจที่สร้างสรรค์ทางความคิด การบริการ อาหาร การสงบจิตสงบใจหากมาที่เมืองไทย ไม่ใช่มาเมืองไทยต้องเสนอขายแพคเกจที่เร้าร้อน และสนองจิตสำนึกส่วนลบของคน
บทเรียนในอดีตของไทยสอนเราอย่างดีว่าเราเคยมีแล้วมันเกิดผลเสียต่อระบบมากน้อยแค่ไหน รวมถึงข้อพิสูจน์ที่ว่าประเทศใดที่ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพนันระยะยาวก็ไม่ได้เจริญทางจิตใจได้ แม้ว่าจะมีการเติบโตและเจริญทางวัตถุเป็นสิ่งล่อ ประเด็นทิ้งทายอีกอย่างต้องยอมรับว่าการสร้างกลไกทางศีลธรรมมิให้คนไทยหลุ่มหลงมัวเมาในกิเลสของการพนัน นี่เป็นเรื่องยากมากเพราะต้องยอมรับมันฝังอยู่ในดีเอ็นเอ และเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งผมคิดว่าต้องเร่งแก้ไขพอ ๆ กับที่เรารณรงค์ให้เลิกดื่มสุรา หรือยาเสพติด
อยากให้เมืองไทยเป็นเขตปลอดคาสิโนแบบถาวร ประเทศเดียวในโลก ประเทศไทยอย่าคิดสั้นกับข้ออ้างทางด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขอให้หวงแหนพรหมจรรย์ทางอบายมุขคาสิโนเอาไว้ให้ดี อย่าให้ไทยเสียความบริสุทธ์ให้กับคาสิโนเลย
ผมขอส่งท้ายด้วยพระราชหัตถเลขา รัชกาลที่ 5 ที่ว่า
“ถึงชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว
ฉิบหายกันไม่เหลือ
ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร
จะรอช้าแต่สักวันเดียวก็ไม่ควร
ต้องห้ามทันที"





























