วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

ปอยเปตสู่เสียมเรียบ ถนนสายที่ยังไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ได้เวลามาสามวันสำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ไปเมืองเสียมเรียบในแผ่นดินเขมร นึกถึงภาพถนนสายนี้ที่มีจุดเริ่มต้นจากปอยเปตที่อยู่ติดกับแผ่นดินไทยแล้ว ชวนให้คิดอยากจะถอดใจไว้ตั้งแต่ต้นทาง ถนนที่ครั้งหนึ่งเคยลาดยางไว้แล้วต่อมาหน้ายางก็หายไป เวลาผ่านไปลูกรังที่เหลือก็เปลี่ยนสภาพเป็นหลุมบ่อจากการที่ต้องรองรับอารมณ์ของรถบรรทุกหนัก นิยามคำบอกเล่าของคนผ่านทางถึงถนนสายนี้ บ้างว่าเมื่อก่อนเป็นถนนยางมะตอย เดี๋ยวนี้เป็นถนนยางมะตูม บ้างก็ว่าเป็นถนนลาดยางหมด คือยางที่ลาดไว้หมดไปแล้ว เหลือแต่ลูกรังล้วน ๆ
 
ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ตี 5 ไปแบบสบาย ๆ ไม่รีบร้อน แวะหากาแฟกินบ้าง เข้าห้องน้ำตามปั๊มน้ำมันบ้าง กว่าจะถึงตลาดโรงเกลือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ได้ก็เกือบ 8 โมงครึ่ง ถือพาสปอร์ตที่มีคนไปยื่นขอวีซ่าไว้ให้ก่อนแล้ว ไปผ่านกรรมวิธีตรวจคนเข้าเมืองทั้งของไทยและของกัมพูชา กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็ 9 โมงกว่า จึงได้มีโอกาสเหยียบเท้าลงบนแผ่นดินตำบลปอยเปต อำเภอโอวโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย ของราชอาณาจักรกัมพูชา
 
สิ่งที่เห็นแล้วรู้ว่าเข้ามาถึงแผ่นดินเขมรแล้วก็คือซุ้มประตูรูปปราสาทขอม และเหล่าบรรดากองทัพรถเข็นที่จอดรอการปล่อยผ่านแดนให้เข้ามาทำมาหากินที่ตลาดโรงเกลือ มีตัวเลขว่าคนเขมรที่เข็นรถรับจ้างบรรทุกของอยู่ที่นี่มีจำนวนถึง 5,000 คน
 
สองฟากฝั่งถนนเรียงรายไปด้วยบ่อนกาสิโนใหญ่น้อย บ่อนใหญ่จะหลบเข้าไปอยู่แยกจากถนนลึกเข้าไปข้างในหน่อย แล้วจัดรถไว้คอยรับส่งคนที่จะไปบ่อนบริการฟรี เคยอยู่เหมือนกันที่เต๊ะท่าขึ้นนั่งรถเบนซ์บริการเข้าไปเที่ยวชมบ่อน แต่ถ้าจะไปเที่ยวข้างในประเทศเขมร แล้วไม่ได้เอารถเข้าไปด้วย ก็คงต้องอาศัยสองเท้าที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเดินเข้าไปตามถนนใหญ่นี้ก่อน
 
มีตัวเลขอยู่อีกเหมือนกันว่าคนที่เข้าไปเล่นบ่อนการพนันที่ปอยเปตซึ่งมีอยู่มากกว่า 10 บ่อนนั้น เป็นคนไทยอยู่ประมาณร้อยละ 70 ทำให้ทุกบ่อนมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะต้อนรับทั้งธนบัตรไทยและเหรียญกษาปณ์ไทย
เดินมาจนถึงวงเวียนที่มีรูปปั้นของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ จะไปขึ้นรถโดยสาร หรือจะไปหาเช่ารถแท็กซี่ ก็ไปขึ้นไปหากันแถว ๆ นี้ พวกที่จัดทัวร์ก็จะพาลูกทัวร์เดินมาขึ้นรถโดยสารปรับอากาศที่ตรงนี้เหมือนกัน รถแท็กซี่ที่นี่ใช้โตโยต้า แคมรี มีทั้งแบบที่มีป้ายทะเบียนและไม่มีป้ายทะเบียน
 
ขึ้นรถออกจากตรงวงเวียนตอน 9 โมงครึ่ง สภาพถนนที่เห็นเรียกว่าดีกว่าในช่วงก่อนหน้า เพราะเริ่มมีการปรับสภาพพื้นถนนไปบ้าง เพื่อเตรียมที่จะลาดยางหลังจากรอค้างกันมาเกือบ 10 ปี ว่ากันว่ามีเหตุที่เกี่ยวข้องกับสายการบินอะไรสักแห่งที่บินไปเขมรแล้วไม่อยากให้ถนนสายนี้มีสภาพดีสักที ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลไทยก็ตกลงใจที่จะช่วยเหลือปรับปรุงถนนช่วงจากปอยเปตไปเมืองศรีโสภณ ระยะทาง 48 กิโลเมตร มาตั้งแต่ปี 2544 ส่วนเขมรเองก็จะกู้ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชียเพื่อปรับปรุงถนนจากเมืองศรีโสภณ ไปเมืองเสียมเรียบ เมืองพระตะบอง เข้ากรุงพนมเปญ เลยออกไปถึงเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ และเมืองวังเตา ของเวียดนาม
  
ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมงครึ่งจึงไปถึงเมืองศรีโสภณ เมืองหลวงของจังหวัดบันเตียเมียนเจย แวะหาร้านอาหารกินข้าวกลางวัน ได้โผมาจากบริษัททัวร์เลือกได้ร้านชื่อ พกายปรึก หรือออกเสียงให้เป็นไทย ๆ ก็ต้องว่า ประกายพฤกษ์ ที่นี่มีกรุ๊ปทัวร์จากเมืองไทยไปลงอยู่หลายเจ้า
 
จาน ชาม แก้วน้ำ หน้าตาดูไม่ค่อยได้คุ้นเคย โทนสีจะออกแดง ยี่ห้อน้ำดื่มอ่านชื่อไม่ออก
 
เลือกอาหารจานแรกเป็นปลาเนื้ออ่อนทอด แต่ฝีมือทอดยังไม่เนียน ก้างยังเป็นก้าง หัวยังเป็นหัว เห็นตัวเล็ก ๆ อย่างนี้น่าจะเคี้ยวกรอบได้หมดทั้งตัว รสชาติออกเค็มอยู่แล้ว ไม่มีน้ำจิ้มจัดมาให้ ตามมาด้วยผัดผักรวมมิตร ที่การปรุงรสชาติตอนผัดไม่ซับซ้อนอะไร แต่ก็ยังไม่ได้รสปาก
 
จานที่ขาดกันไม่ค่อยได้ก็คือไข่เจียว ดูดีที่ใส่ต้นหอมซอยมาด้วย หม้อไฟเป็นต้มยำไก่น้ำใส รสเปรี้ยวนำซดน้ำได้คล่องคอ
ในร้านไม่มีของหวานหรือผลไม้ ก็เลยเดินออกมาเที่ยวชมริมถนนข้างนอก เจอรถขายมะม่วงของสาวเขมร ที่ขนมะม่วงกินดิบใส่ตระกร้าท้ายรถจักรยานมาจอดขาย ไม่กล้าซื้อกินกลัวปัญหาสุขภาพท้องไส้ระหว่างการเดินทางที่คงจะหาห้องน้ำเข้าได้ไม่ง่าย
ตู้โทรศัพท์สาธารณะแบบหยอดเหรียญที่เจออยู่บริเวณใกล้ ๆ
ออกจากร้านอาหารเพื่อเดินทางต่อก่อนเที่ยงเล็กน้อย ไปถึงตำบลกะลันเกือบบ่ายโมง กับระยะทางแค่ประมาณ 50 กิโลเมตร ที่นี่รถทัวร์จะจอดพักรถให้ลูกทัวร์ได้เข้าห้องน้ำ เห็นคิวยาวอย่างนั้นเพราะมีห้องน้ำอยู่ไม่กี่ห้อง เก็บค่าเข้าคนละ 5 บาท นับว่าเป็นธุรกิจที่น่าเข้าไปลงทุนมาก ๆ
 
ขนมแป้งทอดเคลือบน้ำตาลรูปคล้ายก้อนขิง วางขายกันอยู่ริมถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่น ที่เห็นในเมืองเขมรอยู่ทั่วไปอีกอย่างก็คือขวดน้ำอัดลมเก่า หรือขวดเหล้าเก่า ที่ใช้บรรจุน้ำมันที่ใช้เติมให้รถวิ่งได้ ฟังความข้างเดียวมาได้ว่าเป็นน้ำมันปลอดภาษี แอบลักลอบขนกันเข้ามากรอกขวดขายกันทั่วเมือง ราคาถูกกว่าน้ำมันปั๊มหลายบาท
ออกจากตำบลกะลันตอนบ่ายโมงนิด ๆ ที่นี่จะมีถนนทางแยกที่จะไปทะลุออกทางจังหวัดบุรีรัมย์ได้ จากที่นี่ไปอีกประมาณ 50 กิโลเมตร ก็ถึงตัวเมืองเสียมเรียบ ซึ่งกว่าจะไปถึงก็บ่าย 2 โมงครึ่ง แค่เดินทางก็หมดเวลาไปแล้วกว่าครึ่งวัน
  
เข้าตัวเมืองเสียมเรียบมีคนท้องถิ่นมาพาไปเที่ยววัดเทพโพธิวง เป็นสถานที่แรก ไม่ได้ไปดูความสวยงามของโบสถ์ วิหาร หรือสิ่งก่อสร้างใด ๆ ภายในวัด แต่พาไปดูประวัติศาสตร์ความโหดร้ายของมนุษยชาติ การทารุณทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของคนร่วมชาติเดียวกัน อย่างที่เคยได้ยินกันเรื่องทุ่งสังหาร หรือ KILLING FIELD ในยุคสมัยนั้นคนที่นี่ก็มีการเข่นฆ่ากันอย่างทารุณเป็นจำนวนมาก กองหัวกะโหลกและกระดูกของคนเหล่านั้นยังถูกเก็บรักษาจัดแสดงไว้เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจ
 
สถานที่ต่อมาที่ถูกกำหนดเลือกให้ไปก็คือ ศาลเจ้าเจก เจ้าจอม ลักษณะเหมือนเป็นศาลหลักเมือง และใกล้ ๆ กันก็มีศาลองค์พระพุทธรูปที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเกาะกลางถนน ไม่ไกลกันนักก็เป็นอาคารที่ประทับเก่าของอดีตกษัตริย์สีหนุ
เมืองเสียมเรียบเป็นเมืองหลวงของจังหวัดเสียมเรียบ ชื่อเสียมเรียบเป็นชื่อที่มาเปลี่ยนในภายหลัง มีความหมายถึง สยามแพ้ หรือ สยามราบ ก่อนหน้านั้นเรามักจะรู้จักคุ้นเคยกันกับชื่อ เสียมราฐ ที่หมายถึง สยามชนะ กันมากกว่า เมืองเสียมเรียบกำลังอยู่ในช่วงของการเจริญเติบโตจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนขึ้นอยู่ทุกวัน สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ ป้ายต่าง ๆ ในกัมพูชาจะมีตัวหนังสืออยู่ด้วยกัน 3 ภาษา หนึ่งนั้นก็คือภาษาเขมร สองเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาที่สามเป็นภาษาเกาหลี นี่กำลังหมายถึงการรุกเข้ามาทางธุรกิจของเกาหลีในแผ่นดินเขมรได้สำเร็จแล้วใช่หรือไม่
เป็นปกติของสถานที่ที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้คนได้เคารพกราบไหว้ ร้านขายดอกไม้ ธูป เทียน ของบูชา ของแก้บน ก็มักจะมีมากขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้คนที่มาสักการะบูชา และแย่งกันที่จะขายของในร้านของตัวให้กับลูกค้า
 
บริเวณข้างเคียงเป็นสวนสาธารณะ ที่น่าทึ่งก็คือเหล่าบรรดาต้นไม้ซึ่งมีลำต้นสูงใหญ่คอยให้ร่มเงา ทำไมถึงได้หลุดรอดการถูกทำลายยืนยงมาได้จนถึงวันนี้
  
บรรยากาศของสวนสาธารณะที่เปิดโล่งไม่ต้องมีรั้วคอยปิดกั้น เรื่องที่คนหนุ่มสาวจะมาอาศัยสถานที่พบปะพูดคุยถึงเรื่องราวในหัวใจต่อกันก็ย่อมจะเป็นสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้น
 
แม้แต่ถนนที่รถวิ่งก็ยังถูกคลุมร่มเงาไว้ด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นอยู่เรียงราย ป้ายข้อความที่แขวนพาดผ่านกลางถนนบอกให้รู้ถึงการมาเยือนเมืองเสียมเรียบของสมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งสเปน ตำรวจกับรถเข็นขายของยังเป็นเรื่องที่ต้องอยู่คู่กันอย่างไม่มีวันพรากจาก
 
หาบเร่ขายไข่ปิ้ง คนที่นี่ดูเหมือนจะชอบกินไข่เป็ดกันมากกว่าไข่ไก่ รถเข็นขายบะหมี่สำเร็จรูปผัด ที่ใส่ทั้งหมู ผัก และไข่เป็ด กลิ่นหอมเข้าจมูกกระตุ้นน้ำย่อยได้ไม่น้อย
อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว รำคาญฝุ่นที่เกาะผิวมาทั้งวัน กลับโรงแรมกระโจนทิ้งตัวลงสระน้ำใส นึกถึงตลอดทั้งวันที่ได้เจอมากับตัวเอง คงต้องเชื่อแล้วเรื่องที่ว่าถนนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ก็เพราะแม้แต่ยางมะตอยก็ยังไม่มีจะโรย !!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น